"เจแอลแอล"เผยไตรมาสแรก เอเชียแปซิฟิก ลงทุน ซื้อขายอาคารรวม 3.4 หมื่นล้านดอลล์ พบอสังหาฯกลุ่มโลจิสติกส์ โกดัง ศูนย์กระจายสินค้า ปรับเพิ่มขึ้นถึง 9% สวนทางการลงทุนอาคารในกลุ่มศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม ติดลบ
รายงานจากเจแอลแอล บริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพ์ ระบุว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ เอเชียแปซิฟิกมีการลงทุนซื้อขายอาคารรวมมูลค่าทั้งสิ้น 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่ง เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2562 พบว่า ประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าการลงทุนซื้อขายลดลงมากที่สุด คือ ศูนย์การค้า (-39%) ตามด้วยอาคารสำนักงาน (-36%) และโรงแรม (-22%) ส่วนอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้น คืออสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มโลจิสติกส์ (โกดังและศูนย์กระจายสินค้า) โดยปรับเพิ่มขึ้น 9%
โดยพบว่า ในระยะแรกของการเกิดโรคระบาดโควิด นักลงทุนเน้นที่การประเมินผลกระทบที่มีต่อพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ในเบื้องต้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้การตัดสินใจลงทุนหยุดชะงัก แต่ในขณะนี้บรรดานักลงทุนได้ประเมินแนวทางในการหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ โดยให้ความสำคัญสูงกับการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยัง อสังหาริมทรัพย์ที่มีความหลากหลาย มากขึ้น
ทิม แกรแฮม ผู้อำนวยการ ฝ่ายที่ปรึกษากลยุทธ์การลงทุน เจแอลแอล กล่าวว่า ในสถานการณ์ขณะนี้ที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำมาก พันธบัตรให้ผลตอบแทนติดลบ และตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง การลงทุนซื้ออาคารจึงเป็นทางเลือกที่มีความน่าสนใจ เนื่องจากนักลงทุน ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่พร้อมสร้างรายได้และมีความผันผวนต่ำ
โดยนับตั้งแต่การระบาด ของโควิด-19 จีน ฮ่องกง และเกาหลีใต้เป็นกลุ่มประเทศแรกๆ ที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของโรค และเริ่มให้ ภาคธุรกิจหลักๆ กลับมาเปิด ดำเนินการได้ ตามมาด้วยอีกหลายประเทศ อาทิ เวียดนาม ไทย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ พร้อมๆ กับการกลับมาของตลาด การลงทุนซื้อขายอาคารในบางประเทศ
นอกจากนี้ยังพบว่า ในช่วง ก่อนหน้านี้ มีแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงหลายประการที่เริ่มพัฒนาตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ในเอเชียแปซิฟิก และยิ่งมีพัฒนาการที่รวดเร็วมากขึ้นไปอีกโดยมีสถานการณ์ โควิด-19 เป็นตัวเร่ง และส่งผลต่อความต้องการอสังหาริมทรัพย์ เช่น ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล และการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมอร์ซ ส่งผลใหความต้องการอสังหาริมทรัพย์ ดาต้าเซ็นเตอร์และอสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มีการเจรจาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มนี้คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนรวมประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ : 7 กรกฎาคม 2563