ลูกค้าตปท.ซื้อลงทุนห้องชุดโต20% "ฮาบิแทท"ผุด3โครงการรับดีมานด์

ลูกค้าตปท.ซื้อลงทุนห้องชุดโต20%

นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนว่า มีการเติบโตอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากสัดส่วน (โควตา) สามารถขายได้ค่อนข้างเร็วในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ และมั่นใจตลาดอสังหาฯเพื่อการลงทุนมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง

          "เศรษฐกิจไทยอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น ดอกเบี้ยมีอัตราต่ำไม่ถึง 1% ขณะที่ภาคอสังหาฯมีทิศทางที่เป็นบวก ส่งผลให้ผู้ลงทุนหันมาให้น้ำหนักกับโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการกระจายความเสี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า และให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ จากสถิติพบว่านักลงทุนเติบโตขึ้น 10-20% ทุกปี โดยนักลงทุนชาวไทยมีการเติบโตถึง 60% และเริ่มมีนักลงทุนจากภูมิภาคอื่นเข้ามาในตลาด จากเดิมที่มาจากประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน ที่มีสัดส่วนถึง 40%"

          สำหรับในพื้นที่กรุงเทพฯทำเลศูนย์กลางธุรกิจ(ซีบีดี) ตลาดอสังหาฯ เพื่อการลงทุนยังเติบได้ ด้วยปัจจัยของสินค้า(ซัปพลาย) ที่มีค่อนข้างจำกัด รูปแบบ(เทรนด์) การลงทุนส่วนมากในซีบีดี จะซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง หรือซื้อเพื่อปล่อยเช่า เพื่อรองรับกลุ่มชาวญี่ปุ่น และยุโรปที่เข้ามาทำงาน โดยจากแนวโน้มดังกล่าว ฮาบิแทท มีแผนที่จะเปิดตัว 3 โครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3 จะเปิด 2 โครงการ ภายใต้แบรนด์ "วาลเด้น" คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ลักชัวรี เพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุน โดยโครงการแรกคือ วาลเด้น สุขุมวิท 39' สูง 8 ชั้น จำนวน 116 ยูนิต บนเนื้อที่ 0-3-22 ไร่ มูลค่า 950 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 5.6 ล้านบาท

          ส่วนอีกโครงการคือ 'วาลเด้น สุขุมวิท 31' บนเนื้อที่ 0-2-65.25 ไร่ มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เป็นคอนโดโลว์ไรซ์ลักชัวรี สูง 8 ชั้น จำนวน 104 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 5.6 ล้านบาท ส่วนโครงการสุดท้าย จะไปขยายโครงการเพิ่มในโซนพัทยาเหนือ มูลค่าโครงการ 1,250 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 โดยยังคงยึดรูปแบบ (โมเดล) การลงทุนแบบการันตีรายได้จากค่าเช่า โดยมีเชนโรงแรมที่มีชื่อเสียงจากสหรัฐฯเข้ามาเป็นผู้บริหารและจัดการการเช่า

          "ในครึ่งปีแรก บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 1,900 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63% ของเป้าหมายยอดขายรวมที่ตั้งไว้ 3,000 ล้านบาท ขณะที่ ณ ปัจจุบันบริษัทมีแบ็กล็อกในมือแล้ว 3,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ในปีนี้ 400-500 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่ายอดขายจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก และมั่นใจทั้งปีจะได้ตามเป้า ส่งผลให้แบ็กล็อกภายในสิ้นปีเพิ่มเป็น 4,000-5,000 ล้านบาท สามารถรองรับไปอีก 2 ปีข้างหน้า"

 

ที่มา  หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 360 องศา

9 กรกฎาคม 2561