อสังหาหวั่นพิษ “ภาษีที่ดิน” ปี63 ท้องถิ่นโกย 3.9 หมื่นล้าน

อสังหาหวั่นพิษ “ภาษีที่ดิน” ปี63 ท้องถิ่นโกย 3.9 หมื่นล้าน

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แม้ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 12 มีนาคม 2562 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 13 มีนาคม 2562 จะกำหนดให้เริ่มจัดเก็บภาษีวันที่ 1 มกราคม 2563 แต่กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นในฐานะหน่วยงานปฏิบัติได้เตรียมความพร้อมให้องค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) สามารถจัดเก็บภาษีได้ต้นปีหน้าทันที

1.ได้เสนอของบกลางไปยังรัฐบาล ตามคำแนะนำของนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เพื่อนำมาใช้ฝึกอบรมและซักซ้อมข้าราชการและพนักงานท้องถิ่น ทั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาลกรุงเทพมหานคร (กทม.) และเมืองพัทยา รวมทั้งหมด 7,852 หน่วยงาน หน่วยงานละอย่างน้อย 2 คน ให้มีความรู้ความเข้าใจและดำเนินการได้อย่างถูกต้อง โดยเสนอของบไปกว่า 70 ล้านบาท ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยเห็นชอบและลงนามแล้ว อยู่ระหว่างเสนอและรอการพิจารณาตามขั้นตอน

2.ประสานขอความร่วมมือกับกรมที่ดิน ขอข้อมูลที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งเจ้าของและผู้ถือครอง และแผนที่รูปแปลงที่ดิน และขอความร่วมมือกรมธนารักษ์ให้จัดส่งบัญชีราคาประเมินทรัพย์สิน สำหรับใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

3.ให้ข้าราชการ พนักงานท้องถิ่น ฯลฯ ที่ผ่านการอบรมเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบรายละเอียดกฎหมายฉบับนี้ ทั้งนี้ ขอย้ำว่าประชาชนไม่ต้องตกใจ เพราะเมื่อท้องถิ่นมีการประเมินแล้ว หากเห็นว่าต้องเสียภาษีสูงเกินไป สามารถอุทธรณ์หรือแย้งกลับมาได้

ในส่วนของรายได้ที่คาดว่าจะได้จากการจัดเก็บภาษีหลัง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯบังคับใช้อยู่ที่ 39,770.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินกับภาษีบำรุงท้องที่ แยกเป็นที่ดินเกษตรกรรม 6.85 ล้านแปลง ได้รับการยกเว้น 6.84 ล้านแปลง เสียภาษี 800 แปลง ซึ่งคาดว่าจะจัดเก็บภาษีได้ 0.8 ล้านบาท ที่อยู่อาศัย 24 ล้านหลัง ได้รับการยกเว้น 22.39 ล้านหลัง ที่ต้องจัดเก็บภาษี 1.6 ล้านหลัง คาดว่าจะเก็บภาษีได้ 2,770 ล้านบาท ที่ดินอื่น ๆ และที่ดินรกร้างคาดว่าจะจัดเก็บภาษีได้ 37,500 ล้านบาท

ส่วนของแลนแบงก์ก็เป็นประเด็น เพราะการจัดทำโครงการต้องซื้อที่ดินเตรียมไว้ล่วงหน้า และจะนำที่ดินไปทำการเกษตรก็เป็นไปได้ยาก เพราะทำเลบางจุด เช่น ในเมืองหรือถมที่ไปแล้ว แต่นโยบายภาครัฐพยายามจะให้มีการพัฒนาที่ดินในทุกแปลง ทั้งที่บางช่วงเวลายังไม่ถึงเวลาหรือยังไม่เหมาะสมจะนำมาพัฒนา หากทำก่อนอาจจะเกิดปัญหาได้ เพราะปัจจุบันได้รับผลกระทบจากการประกาศใช้เกณฑ์ LTV (สัดส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยต่อมูลค่าหลักประกัน) ของแบงก์ชาติ ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคอยู่แล้ว เห็นได้จากยอดขายยอดจองบ้านหายไปอย่างน้อย 30%

ส่วนการเก็บภาษีบ้านราคาหลังละ 50 ล้านบาทขึ้นไป ในภูเก็ตบ้านเฉลี่ยหลังละ 20-50 ล้านบาท รวมถึงพูลวิลล่าระดับ 100 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนใหญ่ผู้ซื้อเป็นคนต่างชาติ เรื่องการจ่ายภาษีจึงไม่กระทบ และลูกค้าบางคนยื่นชำระภาษีที่ต่างประเทศด้วย

ขณะที่นายปราชญ์ วงศ์วรรณ กรรมการผู้จัดการ บจ.ไวซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เจ้าของโครงการ “ไวซ์ ซิกเนเจอร์” ย่าน อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ มองว่านักพัฒนาอสังหาฯรุ่นเก่า ๆ ที่ซื้อที่ดินเก็บไว้เป็น 10 ปี เพื่อรอพัฒนาโครงการจะได้รับผลกระทบจากภาษีที่ดิน แต่ปัจจุบันนักพัฒนาอสังหาฯส่วนใหญ่ซื้อที่ดินแล้วจะพัฒนาโครงการทันที จึงได้รับผลกระทบไม่มาก แม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นแต่จะเพิ่มไม่มากนัก เมื่อเทียบกับมูลค่าที่ดินที่ซื้อ ซึ่งมีราคาแพงและปรับราคาสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตนนั้นส่วนใหญ่นำที่ดินเปล่าเป็นที่ดินเก่าเก็บของครอบครัวมาพัฒนา

 

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

18 มีนาคม 2562