บูมอสังหาฯ แมนเชสเตอร์ ขนคอนโดเจาะเศรษฐีไทย

บูมอสังหาฯ แมนเชสเตอร์ ขนคอนโดเจาะเศรษฐีไทย

อสังหาฯเมืองแมนเชสเตอร์ ยกทัพบุกไทย แลนด์สโคป คัด 100 ยูนิต เจาะกำลังซื้อเศรษฐีไทยร้อยล้าน เห่อส่งลูกเรียนนอกโตต่อเนื่อง หวังให้อยู่อาศัยไม่ต้องเช่า ได้กำไรจากการลงทุน

จุดขายของโครงการที่นำมาขาย นอกจากอยู่ในเมืองแมนเชสเตอร์ ซึ่งเป็นเมืองที่เศรษฐกิจมีการขยายตัว มีประชากรกว่า 3.5 ล้านคน เมืองยังถูกพัฒนาให้เป็นแหล่งที่ตั้งสำนักงานธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น บีบีซีเวิลด์ ที่ย้ายจากลอนดอนมาอยู่ในเมืองดังกล่าว, ห้างค้าปลีก 1 ใน 4 รายใหญ่ (บิ๊กโฟร์) Co-op, กูเกิ้ล(Google), ซีเมนส์ เป็นต้น มีธุรกิจสตาร์ทอัพเกิดขึ้นจำนวนมากเฉลี่ย 898 บริษัทต่อปี โดยภาพรวม 5 ปีที่ผ่านมาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและดิจิทัลเติบโต 130% คนทำงานมีเงินเดือนด้เฉลี่ย 3.5 หมื่นปอนด์ และยังมีมหาวิทยาลัยชั้นนำจำนนมาก มีนักศึกษาจบการศึกษากว่า 1 แสนคนต่อปี เอื้อต่อการปล่อยเช่าค่อนข้างมาก

ปัจจัยดังกล่าวยังส่งผลให้อัตราการเช่าของที่อยู่อาศัยในเมืองแมนเชสเตอร์อยู่ในระดับสูง 96% มากกว่าลอนดอนเฉลี่ยอยู่ที่ 80% เท่านั้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนของการลงทุน อยู่ในระดับสูงถึง 7% และปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี ขึ้นกับศักยภาพของแต่ละเมือง ส่วนผลกำไรจากการขายอสังหาฯ อยู่ที่ระดับ 4-5%

เรานำที่อยู่อาศัยในเมืองแมนเชสเตอร์มาทำตลาดในไทย ซึ่งปัจจุบันเราพบว่าคนไทยมีศักยภาพสูงในการซื้อที่อยู่อาศัยในอังกฤษ โดยฐานข้อมูลลูกค้าที่เรามีราว 1 หมื่นคน เป็นต่างชาติ 60% คนไทย 40% คนไทยส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทต่อปี คนกลุ่มนี้ยังแบ่งความสนใจซื้ออสังหาฯในอังกฤษ 2 ระดับ ลูกค้าอายุ35-50 ปี จะซื้อที่ระดับราคา 5-20 ล้านบาท ส่วนอายุ 50 ปีขึ้นไป จะสนใจระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนปัจจัยของการเลือกซื้อที่อยู่ในอังกฤษ เพราะซื้อไว้ให้ลูกอยู่อาศัยตอนไปเรียนต่อ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินปอนด์และซื้อเพื่อลงทุน

นอกจากเมืองแมนเชสเตอร์ ยังพบว่า ลอนดอน ลิเวอร์พูล และเบอร์มิงแฮม ยังเป็นเมืองที่คนไทยและนักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสนใจเข้าไปซื้ออสังหาฯด้วยสำหรับการนำโครงการแอนโคทส์ การ์เด้นส์ จะเริ่มขายให้กับลูกค้าในวันที่ 20-21 นี้ ที่โรงแรมอนันตรา กรุงเทพฯ โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 10%

ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้นำโครงการคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการรายใหญ่ของไทย เช่น อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, สิงห์ เอสเตท,เอพี (ไทยแลนด์) ไปทำตลาดในต่างประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง เป็นต้น ซึ่งประเทศดังกล่าวมักจะซื้อโครงการสัดส่วน 49% เต็มพิกัดการถือครองตามกฎหมายของไทย และห้องชุดที่สนใจจะเป็นระดับราคา 3-7 ล้านบาท

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

17 ตุลาคม 2561