อภิศักดิ์ สั่งแบงก์รัฐตรึงดอกเบี้ยซื้อบ้าน

อภิศักดิ์ สั่งแบงก์รัฐตรึงดอกเบี้ยซื้อบ้าน

"อภิศักดิ์"แนะประชาชนหันกู้แบงก์รัฐหากธนาคารพาณิชย์ขยับดอกเบี้ยบ้าน สั่งตรึงดอกเบี้ยต่ำ ให้นานที่สุดหวังอุ้มคนมีบ้าน ด้านแบงก์พาณิชย์ยันไร้ผลกระทบ ชี้ลูกค้ายังทยอยขอกู้ปกติ เผยดอกเบี้ย เริ่มขยับเฉพาะตัวโปรโมชั่น 3 ปีแรก นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แม้ธนาคารพาณิชย์จะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้บ้าน แต่ยังถือว่าในภาวะขณะนี้เป็นภาวะที่ประชาชนยังสามารถมีบ้านเป็นของตนเองได้ เนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้แพงมากและอยู่ในวิสัยที่จะสามารถกู้และผ่อนได้

อย่างไรก็ตาม หากแบงก์พาณิชย์ใดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็ให้หันไปกู้จากแบงก์รัฐแทนได้ ซึ่งนโยบายของรัฐบาลคือต้องการให้ประชาชนมีบ้านเป็นของตนเอง โดยที่แบงก์รัฐจะต้องคิดอัตราดอกเบี้ยถูกสุดที่เขาจะดำรงอยู่ได้

อย่างไรก็ดี การปรับอัตราดอกเบี้ยมีทั้งขึ้นและลด ไม่ได้ขึ้นอย่างเดียว อยู่ที่สภาพตลาด เพราะธนาคารพาณิชย์ การคิดอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ปริมาณเงินที่เขาต้องใช้ในอนาคตกับปริมาณเงินที่ระดมใช้ได้ ถ้าเขาคิดว่า ปริมาณเงินที่เขาต้องใช้จำเป็นต้องมีมาก เขาก็ต้องขยับดอกเบี้ยฝากขึ้นเพื่อดึงเงินเข้ามา ขณะเดียวกัน เมื่อขยับดอกเบี้ยแล้ว เขาก็จะต้องขยับดอกเบี้ยกู้ด้วย ก็สะท้อนกันไป เป็นเรื่องที่อยู่ที่ความจำเป็นของแต่ละธนาคาร ซึ่งก็ลิงค์กับสภาพคล่องของตลาดด้วย ถ้าสภาพคล่องสูงเขาก็ไม่จำเป็น

ส่วนผลกระทบต่อผู้กู้กรณี ปรับอัตราดอกเบี้ยนั้น เขากล่าวว่า คนที่กู้ไปแล้ว ราคาส่วนใหญ่ก็คงที่ ไม่ได้ปรับ ส่วนเงินกู้ใหม่ มีบางแบงก์เริ่มปรับฐานการคำนวณ ก็แล้วแต่ ถ้าแบงก์ไหนคิดแพง ก็ไปหาแบงก์ถูกไม่ได้มีปัญหาอะไร เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เขาก็ให้ดอกเบี้ยถูก ถ้าแบงก์พาณิชย์คิดแพงก็มาหาแบงก์รัฐได้

ทั้งนี้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ก็กำลังจะออกโครงการส่งเสริมให้คนมีบ้านเป็นของตัวเอง โดยยึดให้ผ่อนในอัตรา ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเช่า ถ้าผ่อนในอัตรา ใกล้กับค่าเช่า โดยมีความหวังเมื่อผ่อนจบบ้านจะเป็นของเรา ทุกคนน่าจะถูกใจ เพราะปัจจุบันก็เช่าอยู่

นายอลงกต บุญมาสุข ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริหาร พันธมิตรและส่งเสริมการตลาด สินเชื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า กรณีที่กระทรวงการคลัง สนับสนุนให้ประชาชนหันมาขอ สินเชื่อบ้านจากแบงก์รัฐ หลังธนาคารพาณิชย์เตรียมปรับขึ้นดอกเบี้ยบ้านนั้น ขณะนี้ยังเร็วไปที่จะประเมินผลกระทบว่า ในส่วนของ ธนาคารพาณิชย์จะได้รับผลกระทบ ดังกล่าวหรือไม่

แต่จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของแบงก์พาณิชย์ที่เริ่มเห็นมากขึ้น ก็ยังไม่เห็นลูกค้าหยุด หรือชะลอการขอสินเชื่อ เพราะการขึ้นดอกเบี้ยขณะนี้ เป็นการค่อยๆขยับขึ้นยังไม่มีผลกระทบกับ ผู้บริโภคมากนัก ดังนั้นคนที่อยากกู้ซื้อบ้านอยู่แล้ว ก็ยังคงตัดสินใจ ซื้อบ้านเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนเป้าหมาย เริ่มขยับดบ.โปรโมชั่นขึ้น ทั้งนี้หากดูภาพรวมดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ของธนาคารพาณิชย์ปัจจุบัน เริ่มเห็นแบงก์พาณิชย์มีการปรับดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้นแล้ว โดยเฉพาะในส่วนของดอกเบี้ยโปรโมชั่นช่วง 3 ปีแรก ที่เริ่มเห็นบางแบงก์ลดการทำโปรโมชั่นลง เช่น จากให้โปรโมชั่นดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี มาเป็นเหลือคงที่เพียง 1-2 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นลอยตัว หรือการใช้ดอกเบี้ยลอยตัวทันทีตั้งแต่ 3 ปีแรกเป็นต้นไป เพื่อรับกับต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น

เช่นเดียวกับ ธนาคารกสิกรไทย ที่มีการปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นบ้าง สำหรับบางโปรโมชั่น ที่จับมือกับโครงการบ้าน และเริ่มมีการปรับดอกเบี้ยเป็นลอยตัวมากขึ้น ไม่ได้คงที่ 3 ปีแรก เหมือนในอดีต การตัดสินใจซื้อบ้านนั้น เชื่อว่าขึ้นอยู่กับลูกค้าเป็นหลัก เพราะธนาคารได้มีการทำโปรโมชั่นให้ลูกค้าเลือกทั้งแบบลอยตัว และคงที่ ซึ่งหากลูกค้าเลือกแบบลอยตัว ดอกเบี้ยบ้านก็อาจถูกลง หากเทียบกับคงที่ราว 0.30 %

นายณัฐพล ลือพร้อมชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากดูอัตราดอกเบี้ยระหว่างแบงก์รัฐและแบงก์พาณิชย์ในปัจจุบัน เชื่อว่า ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก โดยปัจจุบันดอกเบี้ยบ้านส่วนใหญ่ เชื่อว่าไม่เห็นระดับต่ำกว่า 3% แล้ว หากเทียบกับปีก่อนที่ดอกเบี้ยบ้านเฉลี่ยของตลาดยังอยู่ต่ำกว่า 3% เพราะตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2560 เป็นต้นมา เริ่มเห็นแบงก์รัฐมีการปรับดอกเบี้ยบ้านเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นเชื่อว่า การกู้สินเชื่อบ้าน วันนี้เชื่อว่า ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ต่างกันมากนัก

ทั้งนี้เชื่อว่า การปรับดอกเบี้ยบ้านของธนาคารพาณิชย์วันนี้ ถือว่าเริ่มปรับดอกเบี้ยเข้าสู่ดุลยภาพ ของดอกเบี้ยที่แท้จริง สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจแล้ว หากเทียบกับอดีตที่ดอกเบี้ยบ้านอยู่ในระดับต่ำมานาน เช่นเดียวกันธนาคาร กรุงศรีที่มีการปรับดอกเบี้ยบ้านเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนส.ค.เป็นต้นมา จากระดับต่ำกว่า 3 % มาอยู่ระดับ 3% ต้นๆ หรือเพิ่มขึ้นราว 0.05-0.10 %

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

10 สิงหาคม 2561